การระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โควิด-19 โดย องค์การอนามัยโลก ก่อให้เกิดความท้าทายต่อรัฐบาลทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีน และองค์การอนามัยโลกที่ต้องพยายามควบคุมการระบาดของไวรัสนี้ รวมถึงลดความรุนแรงของผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยให้มากที่สุด
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ไม่นานมานี้ถูกไวรัสโคโรนาเล่นงาน การระบาดของไวรัสนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่เขียนบทความนี้ ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว 47 คน ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนที่เล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 98,000 รายทั่วโลก โรคระบาดนี้ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและจีนเพิ่มความเหนียวแน่นมากขึ้นเรื่อยมา
ถึงแม้ว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นปัญหาด้านสุขภาพสำหรับประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด แต่ความรุนแรงของการระบาดได้ลดลงในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีการรณรงค์ให้เกิดการตระหนักรู้ถึงขั้นตอนการคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ รวมถึงมาตรการต่าง ๆ สามารถช่วยระงับการเพิ่มจำนวนของผู้ติดเชื้อได้
นอกจากนี้ การระบาดของโรคถือเป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจเช่นกัน ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีน ซึ่งกว่าครึ่งของการลงทุนจากต่างประเทศของไทยในปี 2019 เป็นการลงทุนจากประเทศจีน และมากกว่า 27% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดจากจำนวน 39 ล้านคนในปีเดียวกันนั้นเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยรายงานของกระทรวงการคลังประเมินอัตราส่วนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เกือบ 20% ของจีดีพีประเทศไทยปี 2562 อีกด้วย
ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายของจีนเพื่อลดการระบาดของไวรัสไปทั่วโลก คือการห้ามประชาชนชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งนโยบายนี้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องและสมควรที่จะกระทำ แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์จะลดลงประมาณ 90% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน โดยกระทรวงฯ วางแผนที่จะนำเสนอนโยบายให้วีซ่านักท่องเที่ยวฟรีเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือนเมษายนนี้ โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลประเทศจีนจะต้องมีรับมือการระบาดของไวรัสให้ได้ก่อน
นายพิพัฒน์ยังคงคิดในแง่บวกเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ โดยหวังว่าประเทศจีนจะยกเลิกนโยบายห้ามประชาชนเดินทางไปต่างประเทศในเร็ว ๆ นี้ พร้อมกล่าวถึงความคาดหวังเพิ่มเติมว่าการระบาดของไวรัสจะลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังช่วง [กลางเดือนเมษายน] วันหยุดสงกรานต์
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ามีความคาดหวังไปในทางที่ดี ผลกระทบจากไวรัสยังคงความรุนแรงอยู่มิใช่น้อย โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 4 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทางโรงแรมขาดทุนไปมากกว่า 120 ล้านบาท หรือ ประมาณ 4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เจ้าของโรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งในเมืองภูเก็ตกล่าวว่าโรงแรมขาดทุนไป 30 ล้านบาท หรือประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทางด้านผลกระทบด้านการลงทุนจากต่างประเทศ ได้มีความกังวลว่านักลงทุนชาวจีนจะระมัดระวังมากขึ้นถึงแม้ว่าการระบาดของไวรัสจะลดลงในที่สุด ซึ่งกรณีแบบนี้เราเคยเห็นกันมาแล้วในอดีต อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงจำนวนเม็ดเงินมหาศาลจากจีน และความกระตือรือร้นที่จะไม่ยอมให้โครงการ “Belt and Road” สะดุดลง ควันหลงของวิกฤติครั้งนี้อาจไม่แย่เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็เป็นได้
หลังจากองค์การอนามัยโลกประกาศให้ไวรัสโคโรนาเป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับโลก” เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศจีนต้องเผชิญกับความจริงและผลกระทบอันแสนโหดร้ายหลายประการ เฉกเช่นเดียวกับโรคซาร์สที่ระบาดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งการแพร่ระบาดเริ่มต้นมาจากประเทศจีนเช่นกัน โดยการระบาดของโรคซาร์สถูกระงับลงภายใน 7 เดือน และกำจัดได้หมดสิ้นภายใน 2 ปี การระบาดของไวรัสโคโรนานี้จะไม่ทุเลาลงหากขาดความร่วมมืออย่างจริงจัง และการแทรกแซงอย่างเหมาะสมระหว่างรัฐบาล บริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมไปถึงประชาชนทั่วไปด้วย
หลังจากที่จีนออกมายอมรับว่าดำเนินการรับมือกับเรื่องนี้ช้าเกินไป ประเทศจีนก็เข้าสู่ภาวะฉุกเฉินอย่างรวดเร็วโดยประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ย์ และออกเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ทั่วประเทศ รวมถึงการปิดโรงงานจำนวนมากเพื่อลดการพบปะกันของประชาชน
ทันทีที่การระบาดถูกประกาศให้เป็นเรื่องร้ายแรง ประเทศไทยก็ตอบรับปัญหานี้โดยทันทีด้วยการตั้งจุดคัดกรองในสนามบิน ใช้บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการระบาดของโรคซาร์สในปี 2545-2546 และมีความเชื่อมั่นในนโยบายการระงับการระบาดของประเทศจีนพอสมควร ถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญเรื่องการหยุดการระบาดของไวรัส กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เรายังสามารถเห็นได้ว่านโยบายที่เห็นพ้องต้องกันในหลาย ๆ ด้านนั้นส่งผลให้อัตราการเติบโตของการระบาดในไทยช้ากว่าอัตราการระบาดในประเทศจีนและเป็นอัตราที่ชะลอลงเรื่อย ๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ ภาคเอกชนก็มีความพยายามรับมือกับโรคระบาดนี้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทการบินไทยทำการลดการติดเชื้อไวรัสนี้โดยทำความสะอาดห้องโดยสาร และห้องนักบินในทุกเที่ยวบินที่กลับมาจากประเทศจีน และที่ต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัส ผู้บริหารชาวไทยท่านหนึ่งกล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมว่า “เนื่องจากสายการบินให้บริการด้านบันเทิงบนเครื่องบินของ เช่นจอ LCD ที่ถูกแตะจับอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องทำความสะอาดห้องโดยสารทุกเที่ยวบินอย่างล้ำลึกก่อนที่เราจะบินต่อไปที่หมายอื่น”
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ขึ้นที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 เพื่อสร้างความร่วมมือหยุดการระบาดของไวรัสนี้
นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เข้าพบกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศไทย เป็นการส่วนตัวก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น จากการรายงานของสำนักข่าวซินหัว นายหวังกล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของไวรัสนี้ ทั้งทางราชวงศ์ไทย รัฐบาลไทย และทุกภาคส่วนในสังคมไทย ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือประเทศจีน สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนชาวไทยและชาวจีน
“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้เผยคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนให้กำลังใจชาวอู่ฮั่นที่อยู่ใจกลางเมืองจีน ซึ่งประเทศจีนขอชมเชยมาตรการที่สมเหตุสมผลและเหมาะสมที่ไทยนำมาใช้หลังมีคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก”
ท่ามกลางความหดหู่และหายนะทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการระบาดครั้งนี้ ภาคประชาชนได้แสดงท่าทีตอบรับที่เหมาะสมและไม่แสดงความรังเกียจต่อชาวจีนแต่อย่างใด ซึ่งต่างกับประชาชนในบางประเทศ โดยหลังจากกระแสของการให้ข้อมูลผิด ๆ ที่ถาโถมมาในช่วงระยะแรกของการระบาด โดยส่วนมากมาจากสื่อโซเชียลที่อ้างว่ามีประชาชนจากหูเป่ย์เป็นล้าน ๆ คน หลบหนีมายังประเทศไทย ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยรัฐบาลได้เริ่มรณรงค์ส่งเสริมการตระหนักรู้ในสังคม ทำให้ความตระหนกที่เกิดขึ้นระยะแรก ๆ สงบลงในเวลาอันรวดเร็ว
ในขณะที่จำนวนผู้ใช้รถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดินลดลงจำนวนหนึ่ง เนื่องจากบางคนหาวิธีป้องกันตนเองด้วยการขับรถส่วนตัวแทนที่จะต้องแย่งอากาศหายใจกับผู้ร่วมเดินทางและกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ยังหลงเหลืออยู่ จำนวนคนที่ใส่หน้ากากอนามัยมีปริมาณเพียงครึ่งหนึ่งของผู้เดินทางทั้งหมดเท่านั้น โดยระหว่างการสำรวจอย่างไม่เป็นทางการในหมู่ผู้โดยสาร ชม ยมลยง เผยว่า เลือกใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันมลภาวะ โดยคิดว่าคนไม่ค่อยติดเชื้อไวรัสโคโรนาจากทางอากาศ นอกจากนี้ ตนหมั่นทำความสะอาดมืออยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าชาวไทยต้องปรับตัวในช่วงแรก ๆ ที่อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีนพุ่งสูงขึ้นและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้คนส่วนใหญ่เห็นถึงความสำคัญที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์แบบเอื้อประโยชน์ที่ไทยมีกับจีนไว้ เพราะว่าประเทศจีนเริ่มมีความสำคัญบนสังคมโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
สมชัย เจริญพระ คนขับแท็กซี่กะดึกในกรุงเทพฯ กล่าวว่า ตนยังคงรับนักท่องเที่ยวชาวจีนถึงแม้ว่าจะกลัวการระบาดก็ตาม “ผมใช้เจลทำความสะอาดมือ และผมก็ให้ผู้โดยสารของผมใช้ด้วย และผมก็คอยทำความสะอาดรถของผม ผมทราบว่าหน่วยงานรัฐได้ทำการตรวจคนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้กังวลอะไร ผมชอบที่นักท่องเที่ยวชาวจีนบางคนยังคงมาเที่ยวที่ประเทศไทยอยู่ และผมเชื่อว่าเราต้องต้อนรับคนเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องเดินทางไปไหนมาไหนตอนมาเที่ยวด้วย เหมือนคนอื่น ๆ”
จากมุมมองของชาวจีน การให้การยอมรับอย่างโดยทางการและในระดับปุถุชนนี้ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจ คำพูดของ ลู เหว่ย นักข่าวสำนัก CCTV ชาวจีนที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเผยว่า “สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือคลิปวิดีโอของรัฐบาลไทยและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบนสื่อโซเชียล พวกเขาส่งกำลังใจไปให้ผู้คนที่อู่ฮั่น และคนในประเทศจีน มีป้ายส่งกำลังใจไปสนับสนุนคนในจีนตามห้างต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้โทษคนจีนที่ทำให้เกิดวิกฤติครั้งนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่าประเทศไทยและประเทศจีนได้จับมือช่วยกันแก้ปัญหาครั้งนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่าประเทศไทยเป็นมิตรที่ดีกับประเทศจีน”
เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะลดลงอย่างฮวบฮาบ ที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน รัฐบาลไทยได้เสนอโครงการช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงลำบากนี้ให้ผ่านพ้นไปให้ได้ ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะลดหายไปจากประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่ประเทศไทยก็หวังว่าทุกคนจะเข้มแข็งและผ่านวิกฤตินี้ไปได้ในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้ หากได้รับความร่วมมือและความเข้าใจจากนานาชาติ ทุกคนจะรับมือกับความเสียหายนี้ได้ เดินหน้าต่อไป และตั้งตารอการกลับมาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวจีน ซึ่งคาดว่าทั้งสองประเทศจะเกิดความซาบซึ้งในความสัมพันธ์ระหว่างกัน และจะเป็นความซาบซึ้งในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน